Tag: CFA

  • 8 เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA ให้สอบผ่านในรอบเดียว

    8 เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA ให้สอบผ่านในรอบเดียว

    8 เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA ให้สอบผ่านในรอบเดียว

    การสอบ CFA เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยากที่สุดสำหรับนักการเงินและนักลงทุน การใช้เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านได้ช การวางแผนการศึกษาอย่างเป็นระบบและการใช้กลยุทธ์ในการอ่านหนังสือที่เหมาะสมสามารถทำให้คุณสามารถผ่านการสอบ CFA ได้ในรอบเดียวและเข้าใกล้เป้าหมายการเป็น Chartered Financial Analyst (CFA) ได้เร็วขึ้น

    เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA ให้สอบผ่านในรอบเดียว

    1. วางแผนการเรียนรู้ให้เป็นระบบ

    การวางแผนการเรียนรู้ที่ดีเริ่มจากการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและใช้ Study Planner เพื่อจัดการเวลาศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือวางแผนเช่น Google Calendar หรือ CFA Institute Learning Ecosystem จะช่วยให้คุณไม่พลาดการศึกษาหัวข้อต่าง ๆ นอกจากนี้การใช้เทคนิค Spaced Repetition (การทบทวนเป็นระยะ) เช่น การทบทวนหลังจาก 1 วัน, 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ก็จะช่วยให้คุณสามารถจำเนื้อหาที่เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    2. อ่านอย่างมีกลยุทธ์

    การอ่านหนังสือ CFA ต้องใช้เทคนิคที่ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง SQ3R (Survey, Question, Read, Recite, Review) เป็นเทคนิคที่ช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการอ่านบทสรุปก่อน ตั้งคำถามเกี่ยวกับเนื้อหาแล้วอ่านรายละเอียดและทบทวนซ้ำ การอ่านแบบ Skimming และ Scanning จะช่วยให้คุณจับใจความสำคัญและสแกนหาคำสำคัญได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังควรใช้ปากกาเน้นข้อความเพื่อแยกเนื้อหาสำคัญออกจากข้อมูลทั่วไป

    3. ใช้ Active Learning แทนการอ่านแบบ Passive

    การอ่านหนังสือโดยไม่ใช้เทคนิคที่เหมาะสมอาจทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ไม่ลึกซึ้ง ดังนั้นการใช้ Active Learning จึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเขียน Mind Map หรือการอธิบายเนื้อหาต่อให้ตัวเองฟัง (Feynman Technique) จะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาลึกซึ้งมากขึ้น นอกจากนี้การฝึกทำโจทย์จากแหล่งข้อสอบเก่าและ Mock Exam จะช่วยทดสอบความเข้าใจและเตรียมตัวสำหรับการสอบจริง

    4. ฝึกทำข้อสอบภายใต้แรงกดดัน

    การทำข้อสอบภายใต้การจำกัดเวลาเหมือนกับสถานการณ์จริงจะช่วยให้คุณรู้จักการบริหารเวลาและทำข้อสอบได้เร็วขึ้น นอกจากนี้การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดจะช่วยให้คุณรู้จุดอ่อนของตัวเองและปรับปรุงการทำข้อสอบในครั้งต่อไป

    5. จัดการเวลาและสุขภาพให้ดี

    การใช้เทคนิค Pomodoro (อ่านหนังสือ 25-50 นาทีแล้วพัก 5-10 นาที) ช่วยให้สมองไม่ล้าจากการอ่านต่อเนื่อง นอกจากนี้การนอนหลับให้เพียงพอและการออกกำลังกายก็สำคัญต่อการเตรียมตัวสอบ CFA เพื่อให้สมองทำงานได้เต็มที่และสามารถจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น

    6. เข้าร่วมกลุ่มเรียนหรือ Study Group

    การเรียนร่วมกับผู้อื่นใน Study Group ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และกระตุ้นให้มีวินัยในการอ่านมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยแก้ไขข้อสงสัยที่อาจทำให้เข้าใจผิดและสร้างกำลังใจในการเตรียมตัวสอบ

    7. ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์

    แอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Anki, Quizlet หรือ CFA Learning Ecosystem Tools ก็จะช่วยให้คุณสามารถทบทวนคำศัพท์และเนื้อหาสำคัญได้ทุกที่ทุกเวลา การดูวิดีโอสรุปจาก YouTube หรือแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเรียนรู้เนื้อหาที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น

    8. ใช้จริง เล่นจริง เจ็บจริง

    การประยุกต์ใช้ทฤษฎีที่เรียนมากับโลกความเป็นจริง ผ่านการทำงาน ผ่านการวิเคราะห์ และผ่านการลงทุนด้วยเงินจริง ๆ จะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้นและสามารถนำไปใช้กับการสอบ CFA

    สรุป

    การสอบ CFA เป็นการทดสอบที่ท้าทาย แต่ด้วย การใช้ 8 เทคนิคการอ่านหนังสือสอบ CFA ให้สอบผ่านในรอบเดียว ในบทความนี้ มีประสิทธิภาพประกอบกับการเตรียมตัวที่ดี คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการสอบผ่านในรอบเดียวได้อย่างแน่นอน เทคนิคที่กล่าวถึงในบทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความเข้าใจในเนื้อหา และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบ CFA ได้อย่างมั่นใจ

    แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

    สอบ CFA ยากไหม? สิ่งที่ยากที่สุดของการสอบ CFA คืออะไร?

    วิธีการสอบผ่าน CFAเคล็ดลับเพิ่มเติม: วิธีจัดการเวลาเพื่อเตรียมสอบ CFA

    ค่าใช้จ่ายสอบ CFA อัปเดตล่าสุด 2025 พร้อมทริคประหยัด

    อัปเดตรายได้ CFA ในไทย ปี 2567

  • เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน ยอดนิยม CFA FRM CAIA CFP CISA CQF CMT เลือกใบไหนให้เหมาะกับคุณ? โดย IYKYK Institute

    หากคุณกำลังวางแผนเส้นทางอาชีพในสายการเงินและการลงทุน การได้รับใบรับรองวิชาชีพที่เหมาะสม เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มโอกาสและความน่าเชื่อถือ ในบทความนี้ เราจะ เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ CFA FRM CAIA CFP CISA CQF และ CMT เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

    เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน
    เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน

    เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน ยอดนิยม

    เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน CFA FRM CAIA CFP CISA CQF CMT

    1. CFA (Chartered Financial Analyst)

    เหมาะสำหรับ: นักวิเคราะห์หลักทรัพย์, ผู้จัดการกองทุน, ที่ปรึกษาการลงทุน, สายงานสินทรัพย์นอกตลาด, สายงานบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: CFA Institute

    ✅โครงสร้างการสอบ: 3 ระดับ

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 3–4 ปี

    CFA เป็นใบรับรองที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดระดับโลกในสายงานวิเคราะห์การเงินและการลงทุน ครอบคลุมเนื้อหาทางการเงินรอบด้าน เช่น เรื่องการวิเคราะห์งบการเงิน การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ การจัดการพอร์ตการลงทุน สินทรัพย์นอกตลาด รวมถึงการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล เหมาะสำหรับผู้จัดการกองทุน ผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์นอกตลาด และที่ปรึกษาด้านความมั่งคั่งส่วนบุคคล


    2. FRM (Financial Risk Manager)

    เหมาะสำหรับ: ผู้บริหารความเสี่ยง, นักวิเคราะห์ความเสี่ยง, ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารความเสี่ยงองค์กร

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: GARP (Global Association of Risk Professionals)

    ✅โครงสร้างการสอบ: 2 ระดับ

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 1–2 ปี

    FRM เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงทางการเงิน เช่น ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk), ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) และความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk)


    3. CAIA (Chartered Alternative Investment Analyst)

    เหมาะสำหรับ: ผู้จัดการกองทุน Hedge Fund, นักลงทุน Private Equity, ผู้ที่สนใจการลงทุนทางเลือก

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: CAIA Association

    ✅โครงสร้างการสอบ: 2 ระดับ

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 1–2 ปี

    CAIA เน้นการลงทุนทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ กองทุน Private Equity และ Hedge Fund เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำงานในอุตสาหกรรมการลงทุนทางเลือก


    4. CFP (Certified Financial Planner)

    เหมาะสำหรับ: ที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล, ผู้วางแผนเกษียณ, ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนภาษี

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: CFP Board

    ✅โครงสร้างการสอบ: 5 ส่วน

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 2-3 ปี

    CFP เป็นใบรับรองที่เน้นการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำงบประมาณส่วนบุคคล การวางแผนประกัน การวางแผนภาษี การเกษียณอายุ และการวางแผนมรดก เหมาะสำหรับที่ปรึกษาทางการเงินที่ต้องการให้บริการลูกค้าส่วนบุคคล


    5. CISA (Certified Investment and Securities Analyst)

    เหมาะสำหรับ: นักวิเคราะห์หลักทรัพย์, ที่ปรึกษาการลงทุน, ผู้จัดการกองทุน

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    ✅โครงสร้างการสอบ: 2 ระดับ

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 1–2 ปี

    CISA คล้ายกับ CFA โดยเน้นวิเคราะห์และบริหารการลงทุน โดยหลักสูตรจะเป็นภาษาไทย และเป็นที่ยอมรับในประเทศไทย


    6. CQF (Certificate in Quantitative Finance)

    เหมาะสำหรับ: นักการเงินเชิงปริมาณ (Quant), นักพัฒนาระบบเทรดอัตโนมัติ, Data Scientist ด้านการเงิน

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: CQF Institute

    ✅โครงสร้างการสอบ: 6 ส่วน และ 2 วิชาเลือกขั้นสูง

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 6 เดือน

    CQF เป็นหลักสูตรที่เน้นการเงินเชิงปริมาณ (Quantitative Finance) เช่น การสร้างโมเดลความเสี่ยง อัลกอริธึมเทรด และการวิเคราะห์อนุพันธ์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าสู่สาย Quant


    7. CMT (Chartered Market Technician)

    เหมาะสำหรับ: นักวิเคราะห์เทคนิค, นักเทรด, ผู้จัดการกองทุนที่ใช้ Technical Analysis

    ✅หน่วยงานที่รับรอง: CMT Association

    ✅โครงสร้างการสอบ: 3 ระดับ

    ✅ระยะเวลาเฉลี่ย: 1-2 ปี

    CMT เป็นใบรับรองที่เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เช่น การใช้กราฟแท่งเทียน Indicators ต่าง ๆ และรูปแบบกราฟ เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความเชี่ยวชาญด้านแนวโน้มของราคา


    ตาราง เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน

    ใบรับรอง จุดเด่น เหมาะกับอาชีพ ระยะเวลาเฉลี่ย ระดับการสอบ
    CFA การวิเคราะห์การเงินการลงทุนแบบครอบคลุม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์, ผู้จัดการกองทุน 3–4 ปี 3 ระดับ
    FRM การบริหารความเสี่ยง นักวิเคราะห์ความเสี่ยง, Risk Manager 1–2 ปี 2 ระดับ
    CAIA การลงทุนทางเลือก Hedge Fund, Private Equity 1–2 ปี 2 ระดับ
    CFP การวางแผนการเงินส่วนบุคคล ที่ปรึกษาทางการเงิน 2-3 ปี 5 ส่วน
    CISA การลงทุนและจัดการกองทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์, ผู้จัดการกองทุน 1–2 ปี 2 ระดับ
    CQF การเงินเชิงปริมาณ (Quant) นัก Quant, Algorithmic Trader 6 เดือน 6 ส่วน และ 2 วิชาเลือกขั้นสูง
    CMT การวิเคราะห์ทางเทคนิค นักเทรด, Technical Analyst 1-2 ปี 3 ระดับ

    สรุป เปรียบเทียบใบรับรองทางการเงิน เราควรเลือกใบรับรองไหน?

    • ถ้าสนใจ การวิเคราะห์การเงินการลงทุนแบบครอบคลุมCFA
    • ถ้าสนใจ การบริหารความเสี่ยงFRM
    • ถ้าสนใจ การลงทุนทางเลือกCAIA
    • ถ้าสนใจ การวางแผนการเงินส่วนบุคคลCFP
    • ถ้าสนใจ การวิเคราะห์และการจัดการการลงทุนCISA
    • ถ้าสนใจ การเงินเชิงปริมาณCQF
    • ถ้าสนใจ Technical Analysis และการเทรดCMT

    เลือกให้เหมาะกับเส้นทางอาชีพที่ต้องการของคุณ เริ่มต้นเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อสอบใบรับรองที่ใช่ไปสู่อนาคตที่ดีกว่า!

    แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

    สอบ CFA ยากไหม? สิ่งที่ยากที่สุดของการสอบ CFA คืออะไร?

    วิธีการสอบผ่าน CFAเคล็ดลับเพิ่มเติม: วิธีจัดการเวลาเพื่อเตรียมสอบ CFA

    ค่าใช้จ่ายสอบ CFA อัปเดตล่าสุด 2025 พร้อมทริคประหยัด

    อัปเดตรายได้ CFA ในไทย ปี 2567

     

  • อัตราการสอบผ่าน CFA ตัวตอบคำถามว่า สอบ CFA ยากไหม

    บทความนี้ชวนมาดูสถิติการสอบผ่าน CFA แต่ละระดับในอดีต วัดจากคนที่ไปสอบ ซึ่งต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างน้อยระดับหนึ่ง จากการเก็บข้อมูลของ CFA Institute พบว่า อัตราการสอบผ่าน CFA ต่ำสุดอยู่ที่ 22%


    อัตราการสอบผ่าน CFA แต่ละระดับเป็นอย่างไร ?

    CFA หรือ Chartered Financial Analyst เป็นใบรับรองที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในแวดวงการเงิน แต่เส้นทางสู่การสอบผ่าน CFA นั้นถือว่าไม่ง่ายถ้าดูจาก อัตราการสอบผ่านที่ต่ำ โดยเฉพาะใน ระดับ I ที่มีอัตราการสอบผ่านที่ต่ำที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดของรอบสอบสิงหาคม ปี 2024 พบว่า:

    • ระดับ I: อัตราการผ่านเฉลี่ยเพียง 44%
    • ระดับ II: มีอัตราการผ่าน 47%
    • ระดับ III: มีอัตราการผ่าน 48%

    จากข้อมูล 10 ปีย้อนหลัง ปี 2015-2024 พบว่า:

    • ระดับ I: อัตราการผ่านเฉลี่ยเพียง 40%
    • ระดับ II: มีอัตราการผ่าน 46%
    • ระดับ III: มีอัตราการผ่าน 51%

    ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความยากของการสอบ CFA และแสดงให้เห็นว่าการเตรียมตัวเป็นอย่างดีเท่านั้นที่จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสอบผ่าน CFA


    ทำไมอัตราการสอบผ่าน CFA ถึงต่ำ?

    1. เนื้อหาเยอะ มีการอัปเดตให้ทันสมัย และเน้นประยุกต์ใช้จริง
      การสอบ CFA ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลาย ตัวอย่างสำหรับระดับ I หนังสือที่ต้องอ่านรวมทั้งหมดกว่า 4,000 หน้า โดยเนื้อหาจะออกแบบมาให้กว้างและลึก สามารถใช้ได้จริง โดยมีการอัปเดตเนื้อหาอยู่ตลอดเพื่อให้ทันต่อยุคสมัย
    2. ใช้เวลานานในการเตรียมตัว
      โดยเฉลี่ย ผู้สอบต้องใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 300 ชั่วโมงต่อระดับ เพื่อครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
    3. ข้อจำกัดด้านจำนวนข้อสอบ
      การสอบแต่ละระดับทดสอบด้วยจำนวนข้อที่ไม่มาก การตอบผิดเพียง 1 ข้อสามารถชี้ชะตาว่าสอบไม่ผ่านได้

    ก่อนตัดสินใจสมัครสอบ CFA ลองถามตัวเอง

    • คุณมีเวลาเพียงพอสำหรับการเตรียมตัวสอบหรือไม่?
    • คุณมีวินัยและความตั้งใจที่จะเรียนรู้หัวข้อที่ยากและซับซ้อนหรือเปล่า?
    • คุณสามารถจัดการความเครียดได้ดีแค่ไหน?

    เคล็ดลับการเตรียมตัวสอบผ่าน CFA

    1. วางแผนล่วงหน้า
      กำหนดตารางการเรียนและเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ
    2. ฝึกทำข้อสอบจำลอง
      เพื่อปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบและความยากของข้อสอบ
    3. เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
      หากพบหัวข้อที่ยาก การปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์สามารถช่วยลดความกดดันได้

    แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

    สอบ CFA ยากไหม? สิ่งที่ยากที่สุดของการสอบ CFA คืออะไร?

    วิธีการสอบผ่าน CFAเคล็ดลับเพิ่มเติม: วิธีจัดการเวลาเพื่อเตรียมสอบ CFA

    อ้างอิง

    https://www.cfainstitute.org/programs/cfa-program/candidate-resources/exam-results?s_cid=pMax-cfa_msq-Global-global-FY25-generic-x-b2c-7013Z0000035OtRQAU-googleads-acquisition-x-x-x-x&gad_source=1&gclid=CjwKCAiA1eO7BhATEiwAm0Ee-OQJU7rCa8Kk4FLfUrsbJFxfwSM7QBVGf_2Ebnoo4F8VLufCaCYEcRoC_GAQAvD_BwE&gclsrc=aw.ds

    https://www.cfainstitute.org/sites/default/files/docs/programs/cfa-program/candidate-resources/1963-current-candidate-examination-results.pdf.

  • สิ่งที่ง่ายในการสอบ CFA Level 1

    การสอบ CFA Level 1 เป็นด่านแรกสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่หลายคนใฝ่ฝัน แม้ชื่อเสียงของการสอบนี้จะขึ้นชื่อว่า “ยาก” แต่ในความเป็นจริงกลับมีจุดที่ “ง่าย” ซ่อนอยู่ มาดูกันว่าอะไรที่ทำให้การสอบนี้อาจไม่ยากอย่างที่คิด!

    1.ข้อสอบปรนัย 3 ตัวเลือก ทำให้โอกาสเดาถูกสูงถึง 33%

    ข้อสอบ CFA Level 1 ทุกข้อมีตัวเลือกเพียง 3 ตัวเลือก ได้แก่ A, B, และ C ซึ่งต่างจากข้อสอบทั่วไปที่มักมี 4-5 ตัวเลือก ดังนั้นโอกาสเดาถูกมีถึง 33% ต่อข้อ และหากคุณสามารถตัดตัวเลือกที่ผิดได้ 1 ตัวเลือก โอกาสเดาถูกก็จะพุ่งขึ้นเป็น 50% เลยทีเดียว

    2.คนสายการเงิน เศรษฐศาสตร์ หรือบัญชี มีแต้มต่อ

    หากคุณเรียนจบหรือกำลังเรียนในสาย การเงิน เศรษฐศาสตร์ บัญชี หรือสถิติ คุณจะพบว่าหลายส่วนของเนื้อหาใน CFA Level 1 คือสิ่งที่คุณเคยเจอมาแล้วในมหาวิทยาลัย ทำให้คุณสามารถเรียนรู้และทบทวนเนื้อหาได้ง่าย

    3.เนื้อหาเป็นเรื่องการเงินพื้นฐาน เข้าใจง่าย

    เนื้อหาใน CFA Level 1 เน้นหลักทางการเงินขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นความรู้ที่ตรงไปตรงมาและไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ที่ซับซ้อนจนเกินไปครับ

    4.ข้อสอบตรงไปตรงมา ไม่ดักคำถาม

    ลักษณะของข้อสอบ CFA Level 1 เป็นการสอบที่วัดความเข้าใจในเนื้อหาแบบตรงไปตรงมา ไม่เน้นดักคำถาม หรือไม่เน้นการตีความที่ซับซ้อน ดังนั้น หากคุณเข้าใจหลักการอย่างแม่นยำ คุณก็มีโอกาสทำข้อสอบได้ผ่านครับ

    5.มีโอกาสสอบได้ถึง 6 รอบต่อปี

    คุณสามารถสอบ CFA Level 1 ได้ 6 รอบ ถ้าสอบไม่ผ่าน ก็สามารถสมัครสอบใหม่เพื่อแก้ตัวได้ในรอบถัด ๆ ไปได้

    อย่าประมาทเพราะอัตราสอบผ่านไม่ถึงครึ่ง!

    ถึงแม้จะมีจุดที่ง่าย แต่ก็ต้องระวัง! ข้อมูลล่าสุดระบุว่า อัตราการสอบผ่านทั่วโลกใน 4 ครั้งที่ผ่านมาอยู่ที่เพียง 35-46% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามีผู้สอบเกินครึ่งที่ไม่สามารถผ่านไปสู่ CFA Level 2 ได้ ดังนั้นไม่ควรประมาทนะครับ! “สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” แบบนี้ไม่เอานะครับ

    สรุป
    การสอบ CFA Level 1 อาจมีจุดที่ง่าย ที่สามารถทำให้ผู้สอบเพิ่มความมั่นใจในการสอบได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าการเตรียมตัวสอบให้พร้อมและการเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้งยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบ CFA นะครับ

  • ค่าใช้จ่ายสอบ CFA อัปเดตล่าสุด 2025 พร้อมทริคประหยัด

    หากคุณกำลังวางแผนสอบ CFA (Chartered Financial Analyst) แต่กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย นี่คือ คู่มือการคำนวณค่าสอบ CFA และ เทคนิคประหยัดงบ ที่ช่วยให้คุณสอบผ่านในราคาที่ถูกที่สุด!


    ค่าใช้จ่ายในการสอบ CFA

    1. ค่าแรกเข้า (Enrollment Fee)

    • ค่าแรกเข้าจะจ่ายเพียงครั้งเดียวในตอนสมัครสอบ Level 1: USD 350 (~12,000 บาท)

    2. ค่าสอบแต่ละระดับ (Exam Registration Fees)

    CFA มี 3 ระดับ (Level 1, 2, และ 3) โดยมีราคาลงทะเบียน 2 แบบ:

    • Early Bird (สมัครเร็ว ราคาถูก):
      • Level 1: USD 990 (~34,000 บาท)
      • Level 2: USD 990 (~34,000 บาท)
      • Level 3: USD 1,090 (~38,000 บาท)
    • Standard (สมัครช้า):
      • เพิ่มขึ้น USD 300 ต่อระดับ (~10,500 บาท)

    3. ค่าเครื่องคิดเลข (Calculator)

    เครื่องคิดเลขที่อนุญาต: Texas Instruments BA II Plus ~1,400 บาท (รวมถึง BA II Plus Professional) หรือ Hewlett Packard 12C (รวมถึง the HP 12C Platinum, 12C Platinum 25th anniversary edition, 12C 30th anniversary edition, and HP 12C Prestige)

    • ซื้อใหม่: เสียตัง
    • ยืมเพื่อน: ฟรี

    4. ค่าหนังสือเรียน (Study Materials)

    • E-Book (ฟรี): รวมอยู่ในค่าสอบ
    • หนังสือเล่ม (Physical Books) ของ CFA: USD 250+ (~8,500 บาท) ต่อระดับ
    • 3rd Party Materials: เช่น Kaplan Schweser (~24,000-50,000 บาท) ต่อระดับ

    5. ค่าสอบซ้ำ (Re-registration)

    • หากสอบไม่ผ่าน ต้องจ่ายค่าสอบใหม่ในราคา Standard

    6. ค่าเดินทางและที่พัก

    • หากสถานที่สอบอยู่ไกลจากที่อาศัย เพิ่มค่าเดินทางและที่พักเข้าไป

    วิธีลดค่าใช้จ่ายการสอบ CFA

    1. สมัคร Early Bird ทุกครั้ง
      • ลดค่าสอบได้ถึง ~USD 300 ต่อระดับ (~10,500 บาท)
    2. ยืมเครื่องคิดเลข
      • ประหยัดได้ ~1,400 บาท
    3. ใช้ตำรา CFA แบบ E-Book
      • ไม่ซื้อตำราที่เป็นเล่มเพิ่ม
    4. เลือกใช้คอร์สติว
      • ทำให้เราสอบผ่าน และไม่ต้องเสียค่าสมัครสอบซ้ำ
    5. ขอทุนสอบหรือทุนสนับสนุนจากบริษัท
      • สถาบัน มหาวิทยาลัย และหลายบริษัทมีงบสนับสนุนค่าสอบ CFA ให้ฟรี
    6. สมัครช่วงบาทแข็ง
      • ค่าสอบจะถูกลงหากสมัครตอนบาทแข็งเทียบดอลลาร์

    ค่าใช้จ่ายรวมสอบ CFA ถ้าออกค่าสอบเองทั้งหมด

    รายการค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (บาท)
    ค่าแรกเข้า12,000
    ค่าสอบ Level 1 Early Bird34,000
    ค่าสอบ Level 2 Early Bird34,000
    ค่าสอบ Level 3 Early Bird38,000
    เครื่องคิดเลขซื้อเอง1,400

    รวมทั้งหมด: ~120,000 บาท

    จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายก็คือค่าสมัครสอบ ดังนั้นหากได้รับทุนและถ้าสอบผ่านทุกรอบ ค่าใช้จ่ายแทบจะไม่มีเลย!


    ทริคสำคัญสำหรับสอบ CFA แบบคุ้มค่าที่สุด

    • สมัคร Early Bird ทุกครั้ง
    • สอบให้ผ่าน
    • หาทุน
    • ชำระค่าสอบตอนบาทแข็ง/เก็งกำไร USD

    สรุป

    เราสามารถลดค่าใช้จ่ายในการสอบ CFA ได้มาก หากมีการวางแผนที่ดี และการเตรียมตัวให้สอบผ่านในครั้งเดียวจะช่วยลดต้นทุนซ้ำซ้อนจากการสอบใหม่ได้ดีที่สุด แม้การลงทุนใน CFA จะมีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่จะได้ตอบแทนก็คือการเปิดโอกาสในสายอาชีพและความเชี่ยวชาญด้านการเงินที่เพิ่มขึ้นในอนาคต!

    120,000 บาท ถ้าต้องออกเอง คิดว่าเยอะหรือน้อย คอมเมนต์กันหน่อยครับ!

  • รวมพิกัดสายมูสำหรับผู้สอบ CFA

    “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน” แต่สายมูอย่างเรารู้ดีว่า ถ้าเสริมดวงให้ปังด้วยตัวช่วยศักดิ์สิทธิ์ โอกาสสำเร็จก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ใช่ไหมครับ ห้าห้าห้า! วันนี้พี่ ๆ จาก IYKYK Institute ขอรวมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้เตรียมสอบ CFA มาฝาก นอกจากเตรียมตัวสอบที่หนักแล้ว การเติมพลังใจและความมั่นใจก็สำคัญนะครับ!

    1. หลวงพ่อโสธร (วัดโสธรวรารามวรวิหาร, ฉะเชิงเทรา)

    พระคู่บ้านคู่เมืองแห่งฉะเชิงเทรา เชื่อกันว่าขอพรกับหลวงพ่อโสธรแล้วจะสมหวังในเรื่องสำคัญ เช่น การสอบ CFA หรือการงาน! หากใครอยู่กรุงเทพฯ ก็เดินทางสะดวกเพียง 1 ชั่วโมง

    เคล็ดลับสายมู: ถวายไข่ต้มและดอกไม้เป็นการเสริมบุญ


    2. วัดไอ้ไข่ (วัดเจดีย์, นครศรีธรรมราช)

    สาย CFA ที่มองหาโชคลาภและความสำเร็จไม่ควรพลาด! หลายคนเชื่อว่า “ไอ้ไข่” ศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะการขอเรื่องงาน การเงิน และการสอบ

    เคล็ดลับสายมู: บนด้วยของเล่นหรือดอกไม้ไฟ แล้วอย่าลืมมาแก้บนเมื่อสมหวังนะ!


    3. วัดพระธาตุดอยคำ (หลวงพ่อทันใจ, เชียงใหม่)

    หลวงพ่อทันใจที่วัดพระธาตุดอยคำมีชื่อเสียงในเรื่องสมหวังรวดเร็ว! ใครตั้งใจสอบ CFA แล้วอยากเพิ่มพลังใจ ลองไปไหว้ขอพรพร้อมถวายพวงมาลัยดอกมะลิ

    เคล็ดลับสายมู: ขอพรเรื่องการเรียน การสอบ พร้อมตั้งจิตมั่นคง


    4. ถ้ำนาคา (บึงกาฬ)

    ถ้ำนาคาเป็นสถานที่ที่มีความเชื่อเรื่องพญานาคและพลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเสริมดวงด้านปัญญาและความสำเร็จ ผู้สอบ CFA ที่ต้องการสมาธิและปัญญาเฉียบคมควรไปกราบไหว้

    เคล็ดลับสายมู: เตรียมใจและสมาธิให้สงบก่อนเดินทาง


    5. ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ

    แหล่งพลังแห่งความมั่นคงและความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะสอบ CFA ระดับไหน การไปสักการะศาลหลักเมืองจะช่วยเสริมพลังใจให้พร้อมลุยกับข้อสอบ

    เคล็ดลับสายมู: ขอพรด้วยธูป 3 ดอกและดอกดาวเรือง


    6. วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก, กรุงเทพฯ)

    วัดแขกเป็นที่พึ่งของสายมูที่ต้องการขอพรเรื่องการเรียนและการสอบ เชื่อกันว่าเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์จะช่วยเสริมปัญญา

    เคล็ดลับสายมู: ถวายมะพร้าว นม หรือผลไม้


    7. ศาลเจ้าพ่อเสือ (เสาชิงช้า, กรุงเทพฯ)

    ถ้าต้องการความกล้าหาญและความมั่นใจในวันสอบ ศาลเจ้าพ่อเสือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แนะนำ เชื่อว่าพลังของเจ้าพ่อเสือจะช่วยสร้างความสำเร็จ

    เคล็ดลับสายมู: ถวายหมูสามชั้นหรือไข่ต้ม


    ความสำเร็จเริ่มที่ตัวเรา แต่พลังใจคือสิ่งที่ช่วยเสริม!

    หลังจากมูให้ปังแล้ว อย่าลืมเตรียมตัวสอบให้พร้อม เพราะความสำเร็จไม่ได้มาแค่จากโชค แต่ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง

    ว่าแต่…มีใครแนะนำที่ไหนอีกบ้าง?
    คอมเมนต์ใต้โพสต์นี้เลยครับ แชร์พิกัดสายมูเพิ่มกันหน่อย ถือเป็นการเสริมสร้างบุญจากการช่วยเหลือพี่ ๆ และเพื่อน ๆ นะครับ!

    #สายมูCFA #เคล็ดลับสอบผ่านCFA #รวมที่ไหว้ขอพรสอบCFA #CFAExamTips #ที่ไหว้ขอพรสอบ #สอบCFAยังไงให้ผ่าน #วัดดังสายมู #สอบCFA #เคล็ดลับสอบผ่าน #ไหว้พระขอพรก่อนสอบ #เตรียมตัวสอบCFA #สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ #มูเตลูสอบCFA #CFAReview #ติวCFA #CFAStudyGuide #CFAExamPreparation

  • สอบ CFA ยากไหม? สิ่งที่ยากที่สุดของการสอบ CFA คืออะไร?

    การสอบ CFA (Chartered Financial Analyst) เป็นหนึ่งในการสอบที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับทั่วโลกในวงการการเงิน ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจว่าข้อสอบมีความยากแสนยาก แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้วพบว่าไม่ใช่เลย สิ่งที่ยากที่สุดของการสอบ CFA ไม่ใช่ความยากหรือความซับซ้อนของเนื้อหา แต่กลับเป็นเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

    1. เนื้อหาที่เยอะ

    การสอบ CFA มีเนื้อหาที่มากมาย เช่น CFA Level 1 ที่มีเนื้อหามากถึง 93 บท ซึ่งทั้งหมดอยู่ในหนังสือขนาด A4 ประมาณเกือบ 4,000 หน้า ทำให้ผู้สอบต้องใช้เวลาในการทบทวนและศึกษามาก นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาที่ต้องอัปเดตตามสถานการณ์ใหม่ ๆ เช่น การเพิ่มเนื้อหาของคริปโทเคอร์เรนซี บิ๊กเดต้า ฯลฯ

    2. เนื้อหาบางส่วนมีข้อผิดพลาด

    แม้ว่า CFA Institute จะพยายามดูแลคุณภาพของเนื้อหา แต่บางครั้งอาจพบว่ามีการเขียนผิดทำให้ผู้สอบสับสน ซึ่งทำให้ผู้สอบเข้าใจผิดหรือเสียเวลาในการทำเข้าความใจได้

    3. กระบวนการเตรียมตัวกินเวลานานจนทำเอาท้อซะก่อน

    การเตรียมตัวสอบ CFA ต้องใช้เวลานานมาก โดยเฉลี่ยแล้วผู้สอบจะต้องเตรียมตัวประมาณ 300 ชั่วโมง ในบางกรณีผู้สอบเผื่อเวลาเป็นปี ซึ่งการใช้เวลาเตรียมตัวในระยะเวลานานอาจทำให้เกิดความรู้สึกท้อถอยได้

    4. การเตรียมตัวสอบกระทบชีวิตด้านอื่น

    การที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวสอบอาจทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น คนรอบข้างไม่เข้าใจว่าผู้สอบต้องใช้เวลาในการศึกษา ซึ่งผลสุดท้ายคือผู้สอบต้องตัดสินใจยกเลิกการสอบ

    5. การอัปเดตเนื้อหามีอยู่เรื่อย ๆ

    CFA Institute มีการอัปเดตเนื้อหาบางส่วนในแต่ละปี ซึ่งทำให้ผู้สอบต้องปรับตัวและทำความเข้าใจเนื้อหาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้าคุณสอบไม่ผ่านในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหา คุณจะต้องใช้เวลาศึกษาเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหาที่เปลี่ยนแปลงไป

    6. การเตรียมตัวสอบคนเดียว

    มีคนจำนวนไม่มากที่ตัดสินใจสอบ CFA ส่งผลให้ผู้สอบไม่มีเพื่อนร่วมเตรียมตัวสอบ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคอันสำคัญ เพราะไม่มีคนร่วมทุกข์และคอยช่วยเหลือคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน ไม่มีคนที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ต้องเผชิญกับความทรมานเหล่านี้เพียงลำพัง

    7. การใช้ภาษาอังกฤษ

    การสอบ CFA ทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้สอบที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา การทำความเข้าใจคำถามและเนื้อหาในภาษาอังกฤษต้องการทักษะการอ่านและการวิเคราะห์ที่ดี

    8. ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวการสอบ CFA ในประเทศไทยมีจำกัด

    ในประเทศไทยยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวสอบ CFA จำกัด ทำให้ผู้สอบในประเทศต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาข้อมูลที่จำเป็น เช่น คำแนะนำในการเตรียมตัวสอบ หรือการเข้าถึงการติดต่อกับ CFA Institute

    9. การสอบในช่วงที่คุณพอมีฐานะแล้ว

    บางครั้งผู้สอบ CFA อาจอยู่ในช่วงที่มีความมั่นคงในชีวิต เช่น มีงานหรือมีฐานะที่พออยู่ได้แล้ว ทำให้การสอบ CFA อาจดูเหมือนเป็นภาระที่ไม่จำเป็น และอาจทำให้ผู้สอบเกิดความลังเลหรือยกเลิกความพยายามได้

    10. การสอบควบคู่กับการทำงานหรือการเรียน

    การสอบ CFA มักจะเกิดขึ้นพร้อมกับการทำงานประจำหรือการเรียน ซึ่งทำให้ผู้สอบต้องจัดสรรเวลาให้ดี แต่แน่นอนว่าปัจจัยหรือสถานการณ์บางอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งถ้าหากส่งผลกระทบให้ไม่สามารถจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี อาจส่งผลให้เกิดความกังวัล ความเครียด และทำให้การสอบผ่านเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น

    หวังว่าหลังจากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ยังไม่ท้อไปซะก่อนนะครับ! ถ้าเมื่อใดที่คุณรู้สึกท้อ ขอแค่ไปตั้งกระทะเปิดไฟ แล้วหยดน้ำลงไป มันจะดังว่าซู่ซู่!

    พี่เป้ง IYKYK Institute

  • 7 ขั้นตอน สอบผ่าน CFA ด้วยหลักการ Reverse Engineering: เริ่มถูกวิธี มีชัยไปกว่าครึ่ง!

    เคล็ดลับวิธีที่จะมาแนะนำวันนี้คือการใช้ หลัก Reverse Engineering เพื่อเพิ่มโอกาสสอบผ่าน CFA Level 1, CFA Level 2, CFA Level 3 ในรอบเดียว เพราะการเริ่มถูกวิธี จะทำให้มีชัยไปกว่าครึ่ง!

    ด๊อบบี้รอช่วยอยู่ตรงนี้เสมอ!

    1. รู้เป้าหมายก่อนลุย จุดเริ่มต้นของหลักการ Reverse Engineering

    •เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจ Learning Outcome Statement (LOS) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการเรียนรู้ในแต่ละหัวข้อที่ CFA จะทดสอบ

    •ลองทำข้อสอบท้ายบทเพื่อดูว่าคำถามแบบไหนที่จะถูกถามจากเนื้อหานั้น การทำแบบนี้จะทำให้เรารู้ว่าต้องหาคำตอบแบบไหนมาตอบคำถาม

    วิธีนี้จะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาจากมุมมองที่ถูกต้องและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น

    2. เข้าใจภาพใหญ่ก่อน… แล้วค่อยลงลึกในรายละเอียด

    •ก่อนที่เราจะลงลึกในเนื้อหาของแต่ละบท ควรเริ่มจากการอ่าน สรุปท้ายบท เพื่อให้เข้าใจ ภาพใหญ่ ของบทเรียนทั้งหมด

    •การอ่านสรุปท้ายบทจะช่วยให้เราเห็นโครงสร้างของเนื้อหาทั้งหมด ทำให้เข้าใจว่าหัวข้อแต่ละเรื่องเชื่อมโยงกันอย่างไร และสามารถเก็บข้อมูลสำคัญได้ครบถ้วน

    3. ค่อย ๆ ใช้เวลาทำความเข้าใจ พร้อมจดสรุปด้วยภาษาของตัวเอง

    •ในขั้นตอนนี้ให้เราทำความเข้าใจเนื้อหาทุกบทอย่างละเอียดโดยไม่ต้องรีบ เริ่มจากเนื้อหาที่ยากไปง่าย หรือจะสลับไปสลับมาก็ได้ เพื่อให้มีกำลังใจ

    •จดสรุปเป็นภาษาของตัวเอง เพราะการเขียนสรุปจะช่วยให้เราจดจำได้ง่ายขึ้นและช่วยย่นเวลาการทำความเข้าใจ

    4. ทำกล่องตัวอย่างใน CFA Curriculum ให้ครบ

    •ทำกล่องตัวอย่างใน CFA Curriculum ให้ครบทุกตัวอย่างในแต่ละบท เพราะตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของกระบวนการคิดในแต่ละหัวข้อ

    5. ทำข้อสอบ ทำข้อสอบ และทำข้อสอบ เพื่อเป็นการเทสระบบของหลักการ Reverse Engineering

    •การทำข้อสอบ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวสอบ CFA เพราะจะเป็นการวัดไปเลยว่าเราเข้าใจในเนื้อหาจริงหรือไม่ และเราไม่ได้อ่านวนอยู่ในอ่าง รวมทั้งจับเวลาทำข้อสอบ Mock Exam เพื่อจำลองสถานการณ์การสอบจริงด้วย

    •เขียน 3 รอบ เพราะอยากให้ทำอย่างน้อย 3 รอบ โดยเว้นระยะเวลาให้ลืมก่อนกลับมาทำใหม่ เทคนิคนี้จะช่วยให้เราจดจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น

    ข้อสอบทั้งหมดที่ควรทำประกอบไปด้วย

    -1.กล่องตัวอย่าง จาก CFA Curriculum

    -2.ข้อสอบท้ายบท จาก CFA Curriculum หรือ ข้อสอบที่มีใน Ecosystem (มีเพิ่มเติมจาก ข้อสอบท้ายบท จาก CFA Curriculum เล็กน้อย)

    -3.Mock Exam ที่ได้รับจาก Ecosystem และจากการสมัครสอบเพิ่มเติมกับสมาคม CFA

    อย่าทำข้อสอบไปเรื่อย ๆ โดยไม่วัดผล เป้าหมายของการทำข้อสอบคือต้องให้ได้คะแนน 70% ขึ้นไปในแต่ละบทและทั้งหมดรวมกัน

    6. กำจัดจุดอ่อน

    •จุดอ่อนคือเนื้อหาหรือหัวข้อที่คะแนนต่ำกว่า 70% ซึ่งต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

    •ทำความเข้าใจว่าทำไมถึงผิด และจดบันทึกเพื่อกลับมาทบทวนซ้ำ ๆ ถ้าสุดท้ายไม่เข้าใจจริง ๆ ก็จำไปเลย

    7. ทำกระบวนการ Reverse Engineering เหล่านี้วนไป

    •วางแผนการให้แน่ชัด คอยปรับแผนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เผื่อเวลาไว้มาก ๆ

    •การใช้เวลาทบทวนเนื้อหาหลัง ๆ จะน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงแรก ๆ เพราะเราจะเข้าใจเนื้อหามากขึ้นทุกครั้งที่ทำซ้ำ

    บทส่งท้าย

    ถ้าเราใช้หลักการ Reverse Engineering โดยทำตามทั้ง 7 ขั้นตอนนี้ เชื่อว่ามีโอกาสสอบผ่าน CFA ในรอบเดียวเกิน 50% เหมือนชื่อบทความที่ตั้ง ขอให้ทุกคนรายล้อมไปด้วยด้วยอิทธิบาท 4

    IYKYK Institute